คุณเคยออกแบบชีวิตในวัยเกษียณไว้บ้างหรือไม่ จะเกษียณตอนอายุเท่าไหร? หลังเกษียณอยากใช้ชีวิต แบบไหน? อยากทำอะไร ? ที่สาคัญต้องเตรียมเงินไว้ใช้จ่ายเท่าไหร่? หลายคนวาดฝันถึงชีวีตในบั้นปลายไว้เป็นอยางดี แต่หลายคนกย็งไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง โดยเฉพาะ คนที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วัยทำงานอาจคิดว่าเป็นเรื่องของอนาคต ยังอีกไกล ไว้ใกล้เกษียณแล้วค่อยวางแผนก็คงทัน
การเกษียณอายุหมายถึง การหยุดทำงานประจำไม่มีรายได้หลักอีกต่อไป ” แต่ทุกๆ วันที่เหลืออยู่คุณยังตัองกิน ต้องใช้จ่าย ยิ่งอายุยืนเท่าไร ก็ต้องใช้เงินมากขึ้นเท่านั้น การจะรอให้ลูกหลานหรือญาติ พี่น้องมาเล้ยงดู หรือรอรับสวัสดิการจากรัฐ การหวังพึ่งพาเงินบำนาญ เงินสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินทดแทนสำหรับพนักงาน หลายคนมีเงินเก็บเหล่านี้ แต่ไม่เพียงพอสำหรับใช้ในเวลาเกษียณ นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเวลาเจ็บป่วยนะ ดังนั้นเราควรหาช่องทางเพิ่มรายได้ช่องทางอื่นๆควบคู่ไปด้วย
ข้อควรคิดก่อนเริ่มหารายได้ช่องทางที่สอง
1. มีเวลาสำหรับงานนั้นแค่ไหน งานประจำโดยทั่วไป คือ 8 ชั่วโมง ซึ่งกินเวลาไปถึง 1 ใน 3 ของวันแล้ว และสำหรับคนที่ต้องเดินทางด้วยอาจเสียเวลาเพิ่มถึง 1-2 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น ในแต่ละวันก็จะเหลือเวลาส่วนตัวไม่เกิน 14 ชั่วโมงซึ่งต้องแบ่งเป็นเวลาพักผ่อนด้วยเมื่อคิดจะทำงานหารายได้เสริมจึงควรนำปัจจัยเวลามาคิดเป็น “ต้นทุน” ที่เราลงทุนด้วย อาชีพหรืองานที่จะเลือกทำจึงควรเป็นงานที่ไม่กินเวลามาก ไม่เบียดเวลาพักผ่อนจนเกินไป
2. ต้องใช้เงินต้นทุนสำหรับงานเสริมเท่าไร งานทุกงานมีต้นทุนที่เป็นตัว ‘เงิน’ ต้องเสีย แม้เราอาจเลือกงานที่ไม่ต้องซื้อวัตถุดิบ วัสดุ หรือซื้อของมา สต็อกไว้ แต่ก็อาจมีค่าเดินทาง ค่าอาหาร และค่าดูแลตัวเองเพิ่มเติมทั้งกายและใจด้วย รวมทั้งโอกาสที่จะซื้อของมากขึ้นในระหว่างการเดินทางและระหว่างทำงาน สิ่งที่น่าจะเริ่มทำได้ก่อนที่จะหารายได้เสริมที่ต้องใช้เงินทุนจึงน่าจะเป็นการลดภาระรายจ่ายของเราให้ได้ก่อน
3. ต้นทุนแรงกายคุ้มค่าไหม ข้อนี้เป็นข้อที่หลายๆ คนละเลย เพราะคิดว่าเตรียมใจมาแล้ว ว่าอย่างไรการทำงานเพิ่มขึ้นก็ต้องเหนื่อย ซึ่งจริงๆ แล้ว เราควรพิจารณาว่าที่ลงแรงไปนั้นคุ้มค่าหรือไม่ เพราะแรงกายของเราไม่ใช่ ‘ต้นทุนเปล่า’ ที่ไม่ต้องดูแลรักษาอะไร หากมุ่งมั่นทำงานเพิ่มขึ้นโดยไม่ใส่ใจการพักผ่อนหรือดูแลสุขภาพ รายจ่ายของเราอาจเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่คาดคิดจากค่ารักษาพยาบาล จนสุดท้ายรายได้เสริมที่เพียรหามาอาจไม่คุ้มค่า
4. ต้องไม่กระทบงานประจำ เรื่องนี้คือเรื่องที่สำคัญที่สุด ต้องตระหนักไว้ว่ารายได้หลักของเราคืองานประจำ หากเราทำงานเสริมที่กระทบเวลาทำงาน หรือทำแล้วเหนื่อยเกินไปจนส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน อาจเกิดข้อผิดพลาดและความเสียหาย รวมทั้ง ส่งผลต่อการประเมินผลซึ่งอาจทำให้เราถูกปลดจากงานได้ จากที่ตั้งใจว่าจะหารายได้เพิ่มขึ้นก็จะกลายเป็นขาดรายได้ไป
นอกจาก 4 ข้อที่ควรคิดก่อนเริ่มหารายได้เสริม ที่น่าจะช่วยทบทวนความพร้อมของเราแล้ว อีกสิ่งที่น่าคิดด้วย คือ “ต้นทุนความสามารถ” หรือถามตัวเองว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อลดต้นทุนด้านเวลา เงินทุน แรง และความเสี่ยงเพราะทำอะไรที่เรารู้จริงและสร้างรายได้ได้
#งานเครื่อข่าย หรือ network marketing ทำงานผ่านสื่อ ออนไลน์ จึงเป็นตัวเลือกนึง ที่มีความเสียงน้อย ไม่กระทบงานประจำ เป็นงานที่ต้องใช้เวลาค่อยๆ หาผู้ร่วมธุรกิจที่มีทัศนคติเหมือนกันเมื่อเครือข่ายเกิดการขยายตัว แล้วองค์กรเราจะยั่งยืน รายได้จะมั่นคง เป็นเหมือนเงินบำนาญที่สามารถถ่ายโอนให้ลูกได้ เริ่มเร็วเราก็สำเร็จเร็ว มีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้น
ปัจจุบันบริษัทขายตรงเข้าตลาดทุน จดทะเบียนป็นบริษัท มหาชน แล้ว มุมมองด้านลบที่คนมีกับงาน ขายตรงหรืองานเครื่อข่าย ก็น้อยลง มีคนเข้ามาทำงานเครือข่ายมากขึ้น ก่อนเข้าร่วมธุรกิจ สิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ ในมุมมองของผมที่สำคัญมีสองสิ่ง สิ่งแรกคือ เงินทุน สิ่งที่สองคือทัศนคติเชิงบวก
เงินทุน เริ่มจากหาบริษัทที่จะร่วมธุรกิจ ต้องลงทุนน้อย รักษายอดต่อเดือนเป็นเงินไม่มากเกินไป ในช่วงแรกการทำเครือข่ายคุณอาจจะไม่มีรายได้เข้ามาเลย แต่ทุกเดือนคุณต้องซื้อเพื่อรักษายอด หลายคนถอย ไม่ไปต่อเพราะเหตุนี้
ทัศนคติเชิงบวก งานเครือข่ายเป็นงานที่ต้องพูดคุย สื่อสาร เพื่อชวนคนมาร่วมธุรกิจ ถึงแม้ยุคนี้จะมีสื่อออนไลน์ต่างๆช่วย แต่ก็ต้องพูดคุยอยุ่ดี คุณพร้อมรับคำปฏิเสฐมั้ย จะมีคำถามเข้ามามากมาย ถ้าไม่ศึกษาเรียนรู้วิธีการทำงานที่ถูกต้อง ส่วนมากก็จะค่อยๆถอยออกไป นอกจากทัศนคติเชิงบวกแล้ว การเรียนรู้อย่างถูกต้องแล้วลงมือทำ อดทนมุ่งไปที่เป้าหมายที่วางไว้ เชื่อเถอะครับว่า ความสำเร็จจะเป็นของเรา
พี่เหม มนตรี เหมชาติ / เครือข่ายผู้บริโภคซัคเซสมอร์
ad line: URL / https://line.me/ti/p/I3WKpCI3cz
https://www.facebook.com/montrihem1968